ในการเกษตรปัจจุบันยังเป็นการมองในด้านเดียว แท้จริงแล้วสิ่งที่เป็นปัจจัยการผลิตประกอบด้วย 3 อย่าง
คือ เกษตรกร ความรู้ และ การปฏิบัติ
1. ตัวเกษตรกรเอง ต้องมีวินัย มีความกระตือรือล้น ขยัน
2. ความรู้ ความรู้ความเข้าใจถึง ปัจจัยด้านกายภาพ ได้แก่
สภาพดินปลูก ว่าเป็นดิน ประเภทใหน ต้องดูชนิดว่า เป็นดินเหนียว ดินทราย ดินร่วน หรือ ร่วนปนทราย เพราะอะไร ก็เพราะคุณสมบัติของดินทำให้เราสามารถประเมินได้ว่า ประสิทธิภาพของการดูดธาตุอาหารของพืชเป็นแบบใหน มีผลต่อการใส่ปุ๋ย การให้น้ำ ว่าต้องใช้ปุ๋ย อัตราเท่าไร
ชนิดของพืช เป็นพืชชนิดใหน มีนิสัยแบบใหน ซึ่งพืชแต่ละชนิดจะมีลักษณะ ไม่เหมือนกัน บ้างให้ผลผลิตเป็นผล บ้างเป็นน้ำยาง บ้างเป็นหัวในดิน เป็นต้น เพราะฉะนั้นการดูแลรักษาตลอดจนการให้ปุ๋ย ก็แตกต่างกัน เช่นกัน และอันนี้จึงเป็นแนวความคิดของบริษัทเราที่แตกต่างกับคนอื่นที่ว่า เราทำเฉพาะเจาะจงสำหรับพืชใดพืชหนึ่ง ไม่ทำให้แบบให้ได้ทุกพืช ไม่ว่าจะออกลูก ให้น้ำยาง หรือ ให้หัวในดิน ใช้สูตรเดียวหมดครอบจักรวาล ตามที่เห็นในท้องตลาดทั่วไป ตั้งแต่ นาข้าว ไปจนถึงต้นยางพารา ถามว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร ใส่ปุ๋ยชนิดเดียวกัน ให้ทั้งข้าวออกรวงดี และให้ยาง เพิ่มน้ำยางซะงั้น.... ทั้งที่ระบบราก ก็ไม่เหมือนกัน การหาอาหารก็ไม่เหมือนกัน บ้างหาอาหารทางรากฝอย บ้างทางรากแก้ว พวกหว่านอย่างเดียวก็แย่แล้ว นี่ใส่ยี่ห้อเดียว กินได้ก็กินไป มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ปัจจัยทางด้านสังคม ความรู้ด้านการเกษตรที่สืบทอดกันมาเป็นหลายชั่วอายุ ข้อมูลข่าวสารจากเพื่อนบ้าน ร้านค้า เจ้าหน้าที่เกษตร และอื่นๆมีผลในการจัดการการเกษตรอย่างมาก บางทีทำแบบไร้เหตุผลก็ทำ แบบเห็นเค้าใส่ก็ใส่
ปัจจัยทางด้านเศษฐกิจ เกษตรกร ในบ้านเราส่วนใหญ่เป็นแบบรายย่อย ก็จะมีเงินหมุนเวียนในการซื้อปุ๋ยบำรุงพืช น้อย และเป็นการตัดสินใจขั้นรองๆไปจาก การใช้เงินเพื่ออาหาร และอื่นๆ
เพราะฉะนั้นการใส่ปุ๋ยจะ มีเงินเมื่อไหร่ค่อยใส ใส่ทีละอย่าง หรือไม่ก็ไปต๊ะที่เถ้าแก่ขายปุ๋ยขายยาไว้ก่อน ทำให้เกิดการเป็นหนี้เป็นสิน เพราะซื้อปุ๋ยตามเถ้าแก่แนะนำบ้าง คำถามว่า ร้านค้าเหล่านี้มีความรู้ขนาดใหนที่แนะนำชาวบ้าน เค้ารู้แต่ว่าปุ๋ยยี่ห้อใหนให้กำไรดีกว่าก็แนะนำ ให้โปรโมชั่น พาไปเที่ยวต่างประเทศ ทำยอด ถึงเป้าก็ได้โน้นได้นี่ แล้วใครละเป็นผู้ที่เดือดร้อน ไม่ใช่เกษตรกรผู้ที่ไม่สามารถพึงตัวเองได้ ใช่หรือไม่ และก็ต้องอยู่ในวงจรหนี้สินท่วมตัว เป็นเหตุผลว่า ทำไมเกษตรกรยิ่งทำยิ่งจน
ส่วนเกษตรกรรายใหญ่ก็ทุ่มเทให้กับปุ๋ยที่ว่าดี กันจนทำลายดินกันไปเยอะต่อเยอะ ทั้งรายย่อย และรายใหญ่ เพราะนักวิชาการทางด้านการเกษตรของประเทศไทยไม่เข้มแข็ง ทั้งพืชหลัก เช่นข้าวก็ตาม ยังล้าหลัง ตามต่างประเทศไม่ทำ เพราะทำแต่เอกสาร ของบวิจัย ขอทุน เพื่อตนเอง จะได้เป็นผศ. รศ. กัน แล้วนี่ไม่มีใครรักประเทศไทยกันเลย รึอย่างไร.....
คือ เกษตรกร ความรู้ และ การปฏิบัติ
1. ตัวเกษตรกรเอง ต้องมีวินัย มีความกระตือรือล้น ขยัน
2. ความรู้ ความรู้ความเข้าใจถึง ปัจจัยด้านกายภาพ ได้แก่
สภาพดินปลูก ว่าเป็นดิน ประเภทใหน ต้องดูชนิดว่า เป็นดินเหนียว ดินทราย ดินร่วน หรือ ร่วนปนทราย เพราะอะไร ก็เพราะคุณสมบัติของดินทำให้เราสามารถประเมินได้ว่า ประสิทธิภาพของการดูดธาตุอาหารของพืชเป็นแบบใหน มีผลต่อการใส่ปุ๋ย การให้น้ำ ว่าต้องใช้ปุ๋ย อัตราเท่าไร
ชนิดของพืช เป็นพืชชนิดใหน มีนิสัยแบบใหน ซึ่งพืชแต่ละชนิดจะมีลักษณะ ไม่เหมือนกัน บ้างให้ผลผลิตเป็นผล บ้างเป็นน้ำยาง บ้างเป็นหัวในดิน เป็นต้น เพราะฉะนั้นการดูแลรักษาตลอดจนการให้ปุ๋ย ก็แตกต่างกัน เช่นกัน และอันนี้จึงเป็นแนวความคิดของบริษัทเราที่แตกต่างกับคนอื่นที่ว่า เราทำเฉพาะเจาะจงสำหรับพืชใดพืชหนึ่ง ไม่ทำให้แบบให้ได้ทุกพืช ไม่ว่าจะออกลูก ให้น้ำยาง หรือ ให้หัวในดิน ใช้สูตรเดียวหมดครอบจักรวาล ตามที่เห็นในท้องตลาดทั่วไป ตั้งแต่ นาข้าว ไปจนถึงต้นยางพารา ถามว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร ใส่ปุ๋ยชนิดเดียวกัน ให้ทั้งข้าวออกรวงดี และให้ยาง เพิ่มน้ำยางซะงั้น.... ทั้งที่ระบบราก ก็ไม่เหมือนกัน การหาอาหารก็ไม่เหมือนกัน บ้างหาอาหารทางรากฝอย บ้างทางรากแก้ว พวกหว่านอย่างเดียวก็แย่แล้ว นี่ใส่ยี่ห้อเดียว กินได้ก็กินไป มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ปัจจัยทางด้านสังคม ความรู้ด้านการเกษตรที่สืบทอดกันมาเป็นหลายชั่วอายุ ข้อมูลข่าวสารจากเพื่อนบ้าน ร้านค้า เจ้าหน้าที่เกษตร และอื่นๆมีผลในการจัดการการเกษตรอย่างมาก บางทีทำแบบไร้เหตุผลก็ทำ แบบเห็นเค้าใส่ก็ใส่
ปัจจัยทางด้านเศษฐกิจ เกษตรกร ในบ้านเราส่วนใหญ่เป็นแบบรายย่อย ก็จะมีเงินหมุนเวียนในการซื้อปุ๋ยบำรุงพืช น้อย และเป็นการตัดสินใจขั้นรองๆไปจาก การใช้เงินเพื่ออาหาร และอื่นๆ
เพราะฉะนั้นการใส่ปุ๋ยจะ มีเงินเมื่อไหร่ค่อยใส ใส่ทีละอย่าง หรือไม่ก็ไปต๊ะที่เถ้าแก่ขายปุ๋ยขายยาไว้ก่อน ทำให้เกิดการเป็นหนี้เป็นสิน เพราะซื้อปุ๋ยตามเถ้าแก่แนะนำบ้าง คำถามว่า ร้านค้าเหล่านี้มีความรู้ขนาดใหนที่แนะนำชาวบ้าน เค้ารู้แต่ว่าปุ๋ยยี่ห้อใหนให้กำไรดีกว่าก็แนะนำ ให้โปรโมชั่น พาไปเที่ยวต่างประเทศ ทำยอด ถึงเป้าก็ได้โน้นได้นี่ แล้วใครละเป็นผู้ที่เดือดร้อน ไม่ใช่เกษตรกรผู้ที่ไม่สามารถพึงตัวเองได้ ใช่หรือไม่ และก็ต้องอยู่ในวงจรหนี้สินท่วมตัว เป็นเหตุผลว่า ทำไมเกษตรกรยิ่งทำยิ่งจน
ส่วนเกษตรกรรายใหญ่ก็ทุ่มเทให้กับปุ๋ยที่ว่าดี กันจนทำลายดินกันไปเยอะต่อเยอะ ทั้งรายย่อย และรายใหญ่ เพราะนักวิชาการทางด้านการเกษตรของประเทศไทยไม่เข้มแข็ง ทั้งพืชหลัก เช่นข้าวก็ตาม ยังล้าหลัง ตามต่างประเทศไม่ทำ เพราะทำแต่เอกสาร ของบวิจัย ขอทุน เพื่อตนเอง จะได้เป็นผศ. รศ. กัน แล้วนี่ไม่มีใครรักประเทศไทยกันเลย รึอย่างไร.....